วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 14, 2024
Uncategorized

ท่านวิทิต ลาวัลย์เสถียร นักเขียนกิตติมศักดิ์ ได้เขียนเหมือนนักปราชญ์ชาวพุทธ “ที่ได้พูดต่อๆกันมาหลายยุคหลายสมัย จากแนวความคิดของพุทธศาสนาจนถือเป็นพุทธพจน์ที่เป็นสัจพจน์ว่า คุณธรรมค้ำจุนโลก เมื่อความเห็นแก่ตัวของผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆสังคมย่อมมีความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเปรียบเสมือนเงาซึ่งตามติดกันมาด้วย เหลือเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้สังคมมีความสงบสุขนั่นคือ ความเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์ในสังคม”อ่านแล้วจะเข้าใจยกเว้นพวกที่ชอบคตโกง และชอบเอาเปรียบคงไม่เข้าใจ

คุณธรรมความดีคือสิ่งที่นิรันดร

บทความฉบับที่แล้วผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับความเสื่อมของธุรกิจครอบครัว ในนั้นได้บอกว่าความเชื่อของผมต้นเหตุใหญ่ที่สุด เกิดจากทุกคนในครอบครัว ควรมีคุณธรรมอยู่ในตัวตน การปลูกฝังให้ผู้คนรู้จักผิดชอบชั่วดีคือจุดที่จะทำให้ครอบครัวสามารถยืนระยะอยู่ได้อย่างยั่งยืน สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือกว่าคำว่ากฎระเบียบหรือคำว่าธรรมนูญ เพราะไม่ว่ากฏอะไรดีแค่ไหนอย่างไรระเบียบแบบแผนอะไรจะตรากฏใว้ดีแค่ไหนก็ช่างถ้าผู้คนไร้ซึ่งคุณธรรมไม่ยอมยึดกฎไม่ยอมยึดระเบียบ เขียนไว้ดีแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย

ทุกวันนี้บนโลกใบนี้ในทุกพื้นที่ที่เกิดปัญหาไม่มีความสงบสุข เกิดปัญหาเรื่องการเอารัดเอาเปรียบ เกิดปัญหาเรื่องการรุกรานเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ล้วนมีปัญหาจากการไม่ยึดกฎระเบียบเป็นที่ตั้ง สาเหตุทั้งหมดก็เกิดจากการขาดคุณธรรมนี่แหละที่เป็นตัวตั้ง คำว่าคุณธรรมมันรวมหมายทุกอย่างที่เป็นความดีและความถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความมีจิตสำนึก รู้จักผิดรู้จักถูก รู้จักละอาย รู้จักหน้าที่รู้จักบทบาท สิ่งเหล่านี้รวมๆกันเราเรียกว่าคุณธรรม

เมื่อเช้าดูผลสำรวจสถิติหลายอย่างที่เป็นตัวบ่งชี้การวัดความสุขในสังคม มีตัววัดมากมายที่ล้วนได้ข้อสรุปว่าเหตุที่ได้ผลในทางที่ดีล้วนมาจากคำว่ามีคุณธรรมเป็นตัวตั้ง ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ได้ว่าความล้มเหลวทั้งหมดที่เกิดในสังคม ล้วนมีต้นเหตุจากคำว่าขาดคุณธรรมนี่เอง จะสรุปผลสำรวจ ให้เห็นเป็นข้อๆดังนี้

ข้อแรกสถิติของคนมีครอบครัวขณะนี้ลดลงอย่างมาก คนที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ลดลงจากเมื่อก่อนมากสถิติของคนที่ครองชีวิตเป็นโสดในปัจจุบันเพิ่มไปถึงเกือบครึ่งหนึ่งของผู้คนบนโลกนี้ที่ไม่มีชีวิตครอบครัว สาเหตุที่คนเหล่านั้นไม่ยอมมีครอบครัวเกิดจากความไม่เชื่อมั่น และมองว่าคุณภาพของผู้คนยุคปัจจุบันตกต่ำลงมากจนไม่น่าเชื่อถือจึงยอมใช้ชีวิตเป็นโสดดีกว่าที่จะเลือกคู่ครอง

ผลสำรวจระหว่างการมีความเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างคนในครอบครัว สิ่งที่ปรากฏออกมาชัดเจนที่สุดครอบครัวของคนเอเชียผู้คนดูแลกันและกันรุ่นพ่อรุ่นแม่ดูแลมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ขณะที่รุ่นลูกรุ่นหลานก็ดูแลพ่อแม่ ปู่ย่าตายายและก็ดูแลกันต่อๆไป ในขณะที่ครอบครัวของชาวตะวันตกมีน้อยมากที่จะอยู่กันหลายรุ่นในครอบครัวเดียวกัน เต็มที่ที่สุดก็มีแค่ 2 รุ่นเท่านั้นนอกนั้นก็แยกกันไป ใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่จึงขาดความอบอุ่นทางสังคม กลายเป็นผู้สูงอายุต้องไปอยู่ในสถานพักฟื้นคนชราเสียส่วนใหญ่ ไม่มีลูกหลานสนใจที่จะรับเลี้ยงดูหรือเอาใจใส่ นี่ก็เป็นตัวพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าเมื่อคุณธรรมด้านความกตัญญูไม่มีอยู่ในจิตใจความสำนึกผิดชอบชั่วดีจึงไม่เหลืออะไรไว้ ถ้าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับระบบธรรมชาติที่ต้องดูแลเอาใจใส่คนรุ่นก่อนที่เคยเลี้ยงดูมา นั่นจึงบ่งบอกความเป็นมนุษย์ที่แตกต่างกับความเป็นสัตว์ป่าอย่างไร เมื่อผู้คนไร้ซึ่งความรู้สึกที่ดีๆ การดำรงชีวิตทางสังคมจึงได้ป่าเถื่อนโหดร้าย ตามที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

สถิติของการหย่าร้างผู้คนยุคปัจจุบัน มีสถิติการหย่าร้างสูงมาก เกือบครึ่งหนึ่งของคู่สมรส ที่ไม่สามารถครองชีวิตคู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า แต่สำหรับคนเอเชียยังมีสถิติการหย่าร้างที่น้อยกว่า เพราะส่วนใหญ่ยังมีสายสัมพันธ์คือลูก เป็นตัวยึดโยงแสดงให้เห็นว่าคุณธรรมด้านนี้ยังพอมีหลงเหลืออยู่มากกว่าคนทางตะวันตก

สถิติลูกหลานที่ไม่ค่อยยอมดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่กลายเป็นคนที่มีพื้นฐานการศึกษาดีเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนที่มีการศึกษาน้อยรู้จักการเลี้ยงดูบุพการีมากกว่าเยอะ นี่ก็เป็นอีกสถิติหนึ่งที่ดูแล้วให้ข้อสังเกตดีมาก ถ้าการเรียนที่มีที่มาจากการศึกษาที่สูงขึ้นสูงขึ้นแล้วละเลยบิดามารดา มันบ่งบอกให้เห็นหรือไม่ว่าการศึกษาเหล่านี้ ให้แต่วิชาความรู้แต่ไม่ได้สอนคุณค่าความเป็นคน

ข้อเขียนวันนี้ที่เอาเรื่องเหล่านี้มาตีแผ่ ก็แค่อยากจะบอกให้รู้ว่า สาเหตุหลักๆ บนความวุ่นวายของโลกใบนี้ ล้วนเกิดจากคำว่าขาดคุณธรรม ที่สำคัญที่สุดที่อยากให้ผู้คนเข้าใจก็คือคนๆหนึ่งควรมีจุดยืนของชีวิตที่ถูกต้อง ควรยึดหลักการมีคุณธรรมเป็นสมบัติคู่กาย จึงจะสามารถก้าวพ้นคำว่าบ่วงของเวรกรรมได้ เมื่อผู้คนยึดสิ่งที่ถูกต้องไม่ก่อบาปเวรให้กับผู้อื่น กรรมที่จะตามมาก็คงลดน้อยถอยลง แต่ถ้าไม่ยึดหลักนี้แล้วเอาแต่ก่อกรรมทำเข็นจะไปสร้างกุศลอีกเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดอะไรดีขึ้น ตรงนี้ต่างหากที่อยากให้ตรองกันให้ดี ที่สังคมเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ล้วนเกิดจากการขาดคุณธรรม ถ้าเรายึดมั่นในคุณธรรมที่ถูกต้องแล้วใช้ชีวิตอย่างไม่จมอยู่ในอบายที่ผิดๆ ผมเชื่อว่าอย่างน้อยจิตใจเราก็ยังเบิกบาน

มีคนถามผมว่าทำไมผมต้องมาจ่ายตลาดเองตอนเช้า ผมบอกเขาว่ามันเป็นความสุขของผม เวลาผมซื้อของจากชาวบ้านจากแม่ค้าตัวเล็กๆ ผมไม่เคยต่อรองราคาเพราะคิดว่ามันเหมือนกับการทำบุญอย่างหนึ่ง คนเหล่านั้นเขาไม่ได้มาแบมือขอเงินเราแต่เขาเอาของที่ปลูกจากหยาดเหงื่อมาขาย เมื่อเขาได้ราคาสมน้ำสมเนื้อความเหนื่อยยากของเขามันก็เป็นความสุข ตรงกันข้ามเวลาผมเจรจาธุรกิจกับคู่ค้ารายใหญ่ซึ่งหมายถึงพวกนายทุนทั้งหลาย ผมจะต่อรองอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่เป็นเด็กจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงยึดถือเรื่องเหล่านี้เสมอต้นเสมอปลายมันก็เป็นความสุขแบบหนึ่งที่เราได้ทำตามปณิธานของตัวเอง แล้วยิ่งจะมีสุขมากขึ้นเมื่อเรารู้ว่าสิ่งที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นของเรามันถูกต้อง บางครั้งผมเห็นคนรวยๆซื้อของกับชาวบ้านต่อแล้วต่ออีกพอต่อได้ราคาถูกก็ดีใจ แต่เวลาใช้ชีวิตจริงอวดมั่งอวดมีกัน​ ถ้าถามได้ก็อยากถามเหมือนกันว่ามันมีความสุขดีอยู่หรือ

สรุปสั้นๆสำหรับข้อเขียนบทนี้ ถ้าโลกนี้จะสวยงามแล้วมีความสุขสงบไปที่ไหนเห็นแต่รอยยิ้ม ผู้คนบนโลกนั้นต้องมีคุณธรรมพอควร ถ้ามีผู้คนที่มีคุณธรรมมากกว่า สังคมและโลกจะสวยงามกว่านี้เชื่อว่าคนที่มีคุณธรรมอยู่ในใจอ่านแล้วคงถูกใจ แต่พวกที่ชอบคดโกงชอบเอาเปรียบพวกนี้คงไม่เข้าใจ เพราะพวกนี้ไร้ซึ่งคุณธรรมและมโนธรรม จึงไม่สามารถจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *