รับจ้างฝรั่งตามเรื่องวีซ่าและเรื่องซื้อรถบิ๊กไบท์โอนไม่ได้จ้าง 2 หมื่นให้ตามแต่ถูกเบี้ยว รู้ข่าวคู่กรณีตกลงกันได้กับฝรั่งจ่ายเป็นรายเดือนๆละ2หมื่นจะขอส่วนของตนคู่กรณีเห็นว่าไม่ถูกต้องเรื่องเลยบานปลาย
ฟังความ 2 ด้านเจ้าของร้านอาหารเข้าแจ้งความ สภ.พัทยา 2 ชายฉกรรจ์ ถือวิทยุสื่อสาร-อ้างเป็นนักข่าว ข่มขู่-สถานประกอบการใบมีใบอนุถูกญาต หลังถูกฝรั่งเบี้ยวจ่าย2หมื่น ก่อนหน้าให้“โมจื”รับจ้างติดตาม และเรื่องวีซ่าที่เสียเงินเกินจริง เจ้าตัวแฉกลับฝรั่งซื้อรถบิ๊กไบท์แต่โอนไม่ได้จากคู่กรณี สุดท้ายฝรั่งตกลงกับผู้ขายส่ง2หมื่นต่อเดือน แต่เบี้ยวเงินค่าจ้าง จึงไปขอความช่วยเหลือให้หักหนี้ให้เรื่องจึงเลยเถิด เจ้าตัวปรึกษาทนายแจ้งความเอาผิดโทษทางคอมพิวส์เตอร์คนปล่อยคลิป (มีคลิป) นำเสนอเพื่อความเป็นธรรมทั้ง2ฝ่าย
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึันบ่อยแต่ไม่เป็นข่าวเรื่องอ้างเป็นนักข่าวแล้วเรียกเงิน งานนี้ถือว่างานเข้าจะด้วยเพราะความหลงตนข่มท่าน จึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น วงการสื่อเมืองพัทยาต้องตื่นนิ้วใหนร้ายต้องตัดไป ถ้าเป็นจริงต้องสอบสวนแล้วดำเนินการตามระเบียบของสมาคมฯ
เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ( 1 มิ.ย.67 ) นายเศรษฐา เศรษฐาบำรุง อายุ 42 ปี หรือบอล เจ้าของร้านอาหารสับตะใคร้ฟู๊ดแอนเรสเทอร์รอง ตั้งอยู่ภายในซอยพระตำหนักซอย 5 ย่านพัทยาใต้ หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ได้ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ของวันที่ 26 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา ตนเองกับภรรยา และ ลูกน้องที่ร้าน ได้นั่งรับประทานอาหารอยู่ด้านหน้าร้าน จากนั้นได้มีชายฉกรรจ์ 2 คน คนแรกสวมหมวกแก๊บ สวมแว่นตาดำ ในมือซ้ายถือกระเป๋าสีดำใบ มือขวา ถือ วอ.วิทยุสื่อสานสีดำ ( ว.ตำรวจ ) สวมเสี้อเชิ๊ตแขนสั้น นุ่งกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ อีกคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ๊ตแขนสั้น นุ่งกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะเช่นกัน เปิดเผยใบหน้าชัดเจน ได้ขับรถเก๋งฮอนด้า ซิวิค สีบรอนซ์-เทา มาจอดบริเวณฝั่งตรงข้ามหน้าร้าน ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้ามาหาพวกตนเอง ซึ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ ( ตามภาพที่ปรากฏ ในกล้องวงจรปิด
พอชายทั้ง 2 คน ที่ปรากฏ ในคลิป เดินมาถึง ชายที่สวมแว่นตาดำ-หมวกแก๊บ ได้แนะนำเองว่า ชื่อ “โมจิ” เป็นนักข่าวในพื้นที่ ในมือถือวิทยุสื่อสารส่ายไปมา โดยจะมาขอดูแลทางร้านขอเคลียร์เรื่องการเปิดปิด ให้ทางร้านจ่ายเงินให้ ซึ่งตนเองไม่ขอรับข้อเสนอ เพราะทางร้านเปิดมา 8 ปีแล้ว ไม่เคยทำเรื่องผิดกฎหมายใดๆ พอหลังจากนั้นทางด้านนายโมจิ ได้อ้างอีกว่า ตนเองถูกว่าจ้างจาก ภรรยาชาวต่างชาติ ที่เป็นคู่กรณีกับตนเองก่อนหน้านี้ เรื่องปมเหตุการณ์ซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์ ระหว่างตนเอง กับ ชาวต่างชาติ โดยชายฉกรรจ์ ที่ชื่อ “โมจิ” ได้อ้างว่า ชาวต่างชาติให้มาทวงหนี้แทน เป็นเงิน 20,000 บาท ซึ่งตนเองก็งง เพราะได้โอนเงินให้ชาวต่างชาติไปก่อนหน้านี้แล้ว 20,000 บาท อยู่ๆ ก็มีคนมาขอเก็บเงินซ้ำซ้อน
ต่อมา ภรรยาของตนเอง ได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดโมโหลุกขึ้น พร้อมทั้งบอกให้ ชายฉกรรจ์ทั้ง 2 คน ออกจากร้านไป แต่ทั้ง 2 คนกลับไม่ออก โดย นายโมจิ ได้ลุกขึ้นจากโต๊ะ ออกมายืนอยู่ข้างๆ พร้อมให้พวกอีกคนอัดคลิปวิดีโอ ซึ่งในขณะนั้นภรรยาของตนเอง ก็ได้อัดคลิปไว้เช่นกัน จากนั้น คนที่ชื่อ “โมจิ” ได้พูดจาขึ้นเสียงตะคอกใส่ ด้วยอารมณ์โมโห พร้อมทั้งพูดสอบถามเรื่องใบอนุญาตสถานประกอบการ พูดข่มขู่ ทางด้านภรรยาคุณบอลจึงได้ ไล่ให้ชายทั้ง 2 คน ให้ออกไปพ้นๆร้าน
หลังจากเกิดเหตุ ยอมรับว่า ตนเองกับภรรยา เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ร่วมถึงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต จึงตัดสินใจได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.เมืองพัทยา โดย พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองพัทยา ได้มอบหมายให้ชุดสืบสวนสอบสวน ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมาย อย่างเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้เสียหาย เนื่องจาก เจ้าทุกข์ ยืนยันว่า ชายฉกรรจ์ทั้ง 2 คน อ้างตัวเป็นนักข่าว และ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ โดยตำรวจจะเร่งสืบสวนติดตามตัว มาสอบถามข้อเท็จจริง และ ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น.(1มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไป พบ นาย จิรายุ ( ขอสงวนนามสกุล ) หรือโมจิ อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นบุคคลตามที่ปรากฏในคลิป พร้อมกับให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่ออกมาในคลิปนั้น ต้องย้อนไปก่อนหน้านี้ ตนเอง รู้จักกับ ชาวต่างชาติที่เคยให้การช่วยเหลือ เกี่ยวกับ ถูก หลอกขายรถบิ๊คไบท์ในราคา 250,000 บาท แต่ไม่สามารถโอนได้เพราะไม่มีเอกสาร หลังจากนั้น ชาวต่างชาติรายนี้ ได้ตกลงกัน นายเศรษฐา เศรษฐาบำรุง อายุ 42 ปี หรือบอล เจ้าของร้าน และ เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ดังกล่าว ซึ่งฝ่ายชาวต่างชาติขอคืนรถและขอเงินคืน โดยตกลงจ่ายเป็นรายเดือน / เดือนละ 20,000 บาท ซึ่งทางต่างชาติที่ได้ว่าจ้างตนเองเป็นจำนวน 20,000 บาท ให้ช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องการต่อวีซ่าที่เสียเงินเกินความเป็นจริง ซึ่งต่างชาติไม่มีเงินให้ผม ผมก็คิดว่าไปเอาเงินจาก นายเศรษฐา เศรษฐาบำรุง แทน จึงเป็นไปตามเหตุการณ์ในคลิป ซึ่งการไปในวันนี้ได้แสดงตัวว่าเป็นใคร และ มีการคุยกับ นายเศรษฐา เศรษฐาบำรุง ก่อนหน้านี้เป็นอาทิตย์แล้ว และนัดมารับเงินวันนี้ เมื่อไปถึงทาง นายเศรษฐา ไม่พูดอะไรเลย มีแต่ทางฝ่ายหญิง ที่เป็นภรรยา เอะอะโวยวาย และพูดจาขับไล่ตนออกจากร้าน ซึ่งเป็นเหตุที่ให้ตนเองเกิดโมโห จึงพูดแบบนั้นไป แต่ยืนยันไม่ได้ข่มขู่หารือกรรโชกทรัพย์แต่อย่างใด โดยหลังจากนี้ได้เข้าปรึกษากับทนาย และชาวต่างชาติเพื่อจะเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งคนที่เอาคลิปดังกล่าวไปคอมเม้นท์ตามเพจต่างๆด้วย