“สุภาษิตจีนบอกว่าถ้าถอยห่างออกมาสักหน่อย เราก็จะมองเห็นข้างหน้ากว้างขึ้น วิสัยทัศน์ความจริงก็คือทัศนวิสัยถ้าใครมี ก็สามารถมองไปเห็นโลกกว้างได้” เป็นบทความที่ต้องอ่านจากท่านวิทิต ลาวัลย์เสถียร นักสู้สมัย ผกค.ทุ่งช้างจังหวัดน่านทำงานหาเงินท่ามกลางห่ากระสุนตกผมเองไม่เคยลืมกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น คนที่มีวิสัยทัศน์มองมาถึงวันนี้ชีวิตท่านต่าง ราวฟ้าดิน
ทำไมจึงต้องมีวิสัยทัศน์แล้วยังต้องมีโลกทัศน์ด้วย
วันก่อนเขียนไปเรื่องธุรกิจครอบครัวว่าถ้าต้องการให้ยั่งยืนก็ต้องมีผู้นำที่เต็มไปด้วยวิสัยทัศน์แล้วก็มีโลกทัศน์ประกอบด้วย แต่ละรุ่นของครอบครัวหาบุคคลเช่นนั้นไม่เจอโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นก็ถือเป็นเรื่องยากลำบากแล้วถ้าไม่มีระบบคุณธรรมด้วยก็อย่าหวังจะต่อยอดไปข้างหน้าได้ เพราะจะไม่สามารถหลีกหนีการแก่งแย่งชิงดี กับลำดับอาวุโสไปได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถรักษาสิ่งที่ได้มาให้คงอยู่ เอาแค่ให้รักษาระดับที่เคยมีก็ยังยาก และนี่คือต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ธุรกิจครอบครัวหรือธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลต่างต้องผจญกับความล้มเหลว แต่รูปแบบนิติบุคคลยังดีกว่าเพราะยังมองหาคนอื่นมาเสียบแทนได้ ในขณะที่ธุรกิจครอบครัวถ้าไม่พัฒนาเป็นนิติบุคคลก็ต้องผจญกับปัญหาเหล่านี้เสียส่วนใหญ่
วิสัยทัศน์ความจริงก็คือทัศนวิสัยถ้าใครมี ก็สามารถมองไปเห็นโลกกว้างได้ อย่างที่สุภาษิตจีนบอกว่าถ้าถอยห่างออกมาสักหน่อย เราก็จะมองเห็นข้างหน้ากว้างขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องมี เรื่องพวกนี้จะเป็นตัวชี้วัดการมองไปสู่อนาคต คนที่มีวิสัยทัศน์จะไม่มองกันแค่เรื่องที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดียว แต่จะคิดไปถึงเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะมาถึงด้วยเรียกง่ายๆว่ามองอนาคตได้อันนี้สำคัญ ส่วนคำว่าโลกทัศน์หมายถึงการมองกว้างมองไกล การจะมองกว้างมองไกลคนผู้นั้นต้องเปิดโสตทัศน์ให้กว้างๆการรับฟังรับชมข่าวสารต่างๆ ไม่ใช่รับฟังแล้วก็ผ่านเลยไปแต่ต้องรู้จักคิดตามแล้วก็วิเคราะห์ไปด้วย จึงเรียกว่ามีโลกทัศน์ที่กว้างไกล สรุปสองสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมี ถ้าพูดแบบคนรุ่นเก่าก็จะบอกว่าคนเรานั้นนอกจากฉลาดแล้วต้องเฉลียวเป็นด้วย เพราะถ้าฉลาดแล้วแต่ไม่เฉลียวมันก็ได้แค่ครึ่งๆกลางๆ
จะยกตัวอย่างให้ทุกท่านฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกในยุคปัจจุบัน ที่โลกเกิดภัยทางด้านเศรษฐกิจ ด้านความไม่สงบสุข ภัยสงครามหรือรวมแม้กระทั่งไปถึงโรคระบาด ถ้าเราไม่สามารถมองสิ่งเหล่านี้ด้วยวิสัยทัศน์ที่เข้าใจ นั่นก็จะทำให้เราถูกม้วนเข้าไปในวังวน ถูกสถานการณ์ที่เป็นอยู่ปั่นหัวให้งุนงงสงสัย เปรียบเสมือนจิ้งหรีดถูกเขาจับมาปั่นหัวให้กัดกัน แล้วก็ยังงมงายกับความไม่รู้สึกพอจิ้งหรีดกัดชนะมันก็จะพองปีกแล้วขันอย่างยิ่งใหญ่มาก ทำนองว่าเป็นผู้ชนะแล้วแต่ความเป็นจริงล่ะก็คือถูกเขาปั่นหัวนั่นเอง ก็เหมือนสถานการณ์ในขณะนี้ที่เป็นอยู่คงจำกันได้ว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อน นักวิเคราะห์บอกว่าจีนกำลังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ รวดเร็วในทุกด้านจนมีการพูดกันว่าอย่างช้าไม่เกิน 2 ปี 3 ปีก็จะขึ้นมาเป็นเจ้าโลก จากนั้นมาจีนก็เจอโรคระบาดแล้วโรคระบาดก็เกิดขึ้นที่จีนเสียด้วยจากนั้นก็สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย แล้วสุดท้ายก็รุกลามมาถึงสงครามที่ตะวันออกกลางอันมีอิสราเอลกับกลุ่มอาหรับ ถามว่าเรื่องแบบนี้คนส่วนใหญ่ก็มองออก แต่มองแล้วก็ไม่สนใจทุกคนได้แต่คิดว่ามันเป็นแค่เกมเตะตัดขา แล้วเป็นยังไงล่ะ ถ้าเรารู้จักที่จะเฉลียวคิดสักนิดว่าตอนนี้เรากำลังถูกปั่นหัวกันทั้งโลก ทั้งเรื่องราคาทองคำทั้งเรื่องราคาพลังงาน ทั้งเรื่องตลาดทุนทั้งเรื่องการกีดกันทางธุรกิจ ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเป็นปกติสักอย่างมันเกิดจากการกระทำที่มีเป้าหมายชัดเจนมากแต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เฉลียวคิดยังคงไหลไปตามเกม
ทำไมผู้นำทั่วโลกจึงยอมเป็นเครื่องมือ ทำไมคนเหล่านั้นจึงต้องมาเล่นเกมติดกับดัก ก็เพราะหวงแหนในอำนาจที่เคยมี เคยเป็นพวกนักล่าอาณานิคมเคยกดขี่ข่มเหงผู้อื่นแล้วกลัวว่าเขาจะเอาคืนเมื่อโลกมันเปลี่ยนขั้ว จึงสมยอมเข้าเป็นพวกแล้วก็ต้องจำยอมจ่ายค่าตอบแทนที่แพงแสนแพง สรุปก็คือ ต้องซื้อก๊าซธรรมชาติแพง ค่าครองชีพในประเทศของตัวเองพุ่งสูง แล้วยังจะต้องเป็นบริวารใต้ปีก ถูกเกณฑ์ให้ช่วยส่งอาวุธไปรบด้วยค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายคือต้องซื้ออาวุธเพิ่มใหม่อีกมากมายเป็นการฉุดให้ไม่สามารถเติบโตได้ แล้วที่บอกว่าเงินดอลลาร์ในอนาคตจะเป็นแบงค์กงเต็ก ตามที่พวกนักวิจารณ์เคยวิจารณ์กันนักหนา ตอนนี้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากกว่าสกุลใดๆ ตรงกันข้ามเงินหยวนที่เคยมองว่าจะขึ้นมาเป็นสกุลเงินทดแทนกลับหล่นลงไปอ่อนซะขนาดนั้น ยิ่งชาติเล็กๆอย่างไทยเรายิ่งแล้วใหญ่ค่าของเงินตอนนี้กลายเป็นอ่อนค่าขนาดทองบาทละ 40,000 เศษนั่นแหละ นี่คือการถูกม้วนเข้าไปในวังวนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ถ้าถามว่าทำไมวันนี้มาเขียนเรื่องพวกนี้ไม่ได้คิดจะตีแผ่หรือไปวิจารณ์เรื่องของชาติมหาอำนาจเขา แต่อยากจะฝากถึงรัฐบาลไทยถ้าเราถูกม้วนไปในวังวนแล้ว ยังไม่สามารถดิ้นหลุดออกมาได้ก็คือตายกับตาย เท่ากับว่าเรากำลังจมอยู่ในวังวนอย่างไม่มีวันหลุดพ้นขึ้นมาได้ สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำในขณะนี้ไม่ใช่วิธีที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะทำให้คนของเราจับจ่ายใช้สอย ทั้งๆที่เราก็รู้อนาคตข้างหน้าว่ายุคของการบริโภคนิยมมันกำลังถูกบั่นทอนอย่างหนัก เราจะไปหวังกับอุตสาหกรรมและการส่งออกได้อีกหรือ สิ่งที่ต้องคิดในขณะนี้ก็คือคนของเรากำลังจะตกงานอย่างที่เห็นโรงงานปิดตัวกันปีละไม่รู้เท่าไหร่ แล้วก็จะมากขึ้นมากขึ้นถ้ายังปล่อยให้เป็นเช่นนี้.อนาคตจะเป็นเช่นไรสิ่งที่จะต้องรีบแก้ไขก็คือทำอย่างไรจะให้คนของเราลดค่าครองชีพลง ถึงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ปรนเปรอให้เขาใช้เงินเยอะๆ แต่ต้องช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ต้องทำให้พลังงานถูกลงมา ต้องทำให้สาธารณูปโภคทุกอย่างลดลง เปลี่ยนจากการเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมมาเป็นเติบโตด้านการท่องเที่ยวการเกษตร แล้วก็พัฒนาจุดเด่นของเราคือการเกษตรเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร พัฒนาเกี่ยวกับการแพทย์ที่เป็นจุดแข็งของเราเหมือนกัน ถ้าทุกอย่างในประเทศของเราถูกลงการท่องเที่ยวจะเติบโตขึ้นอีกมากมาย ถึงตอนนั้นถ้าอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลงส่วนหนึ่งผู้คนของเราก็ยังมีทางออกมีเกษตรมารองรับมีการท่องเที่ยวมาอุดหนุน เราก็จะหลุดพ้นจากความวุ่นวายไม่ต้องถูกเขาปั่นหัวเป็นจิ้งหรีดที่หัวจะขาดแล้วยังไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ ลองพิจารณาให้ดีอย่าหลงทางให้มากกว่านี้เลย แล้วก็อยากให้รู้ว่าที่ท้วงติงมาก็เพราะเป็นห่วง
(ขอบคุณเจ้าของภาพและข้อเขียน)