ยิ่งการจับจ่ายใช้สอยในทุกหมวดหมู่ ก็ยิ่งต้องควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวด ไม่ใช่นึกอยากซื้ออะไรก็ซื้อ นึกอยากใช้อะไรก็ใช้ทุกคนต้องควบคุมรายจ่ายของตัวเองอย่างเคร่งครัด จึงเป็นปัญหากระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมมากที่สุด เมื่อผู้คนไม่จับจ่ายใช้สอย คนที่หยุดธุรกิจไปหลายปีกลับมาเปิด กิจการใหม่ จึงประสบปัญหาขายยากขายฝืดก็กลายเป็นปัญหาของคนที่ต้องลงทุนใหม่ทุกคน.สุดท้ายจึงมีผล กระทบกันเป็นลูกโซ่ ไม่มีอะไรเป็นไปตามคาดหมายสักอย่างและนี่คือสาเหตุที่แท้จริง
“โรคโควิด-19 ไวรัสหยุดโลก” ตั้งแต่พบครั้งแรก ถึง 13 พ.ค. 63 ในประเทศไทย ผลกระทบทางด้านเศษฐกิจเป็นศูนย์ ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เป็นอย่างไร ที่นี่มีคำตอบ ครับ จากบทความขอบท่านวิทิต ลาวัลย์เสถียร หบดี เมืองระยอง
วิกฤตซ้อนวิกฤต
เวลาเกิดแผ่นดินไหวจะมี After Shock เป็นระยะๆ เวลามีวิกฤตอะไรก็จะมีเอฟเฟคตามหลังทุกเรื่อง ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ สภาพเศรษฐกิจโลกในยุคปัจจุบันการที่ผู้คนคิดแง่บวก แล้วมองว่าได้ผ่านวิกฤตการณ์โควิดมาแล้วต่อไปทุกอย่างจะดีขึ้น แต่บนความเป็นจริงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวัง และดูเหมือนเศรษฐกิจจะยิ่งแย่ลงด้วยซ้ำ มองไปทิศทางไหนมีแต่หนทางตันทั้งนั้นความจริงก็คือ
สามปีกว่าที่เกิดวิกฤตโควิดได้เปลี่ยนวิถีชีวิตผู้คนแบบชนิดที่เรียกว่าเหมือนกลับด้าน 3-4 ปีที่ผู้คนทำมาหากินไม่ได้จะมีคนส่วนหนึ่งที่ต้องใช้เงินสะสมจนหมด แล้วก็กลายเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่รอด วันทั้งวันถูกขังกันอยู่แต่ในบ้านจึงต้องใช้ชีวิตแบบไม่มีสังคม ทุกอย่างต้องพึ่งพาซื้อขายอะไรบน internet เป็นส่วนใหญ่ แม้กระทั่งอาหารก็ยังต้องสั่งให้มาส่งถึงหน้าบ้านเรียกว่าเปลี่ยนวิถีชีวิตโดยสิ้นเชิง
แล้วจู่ๆพอวิกฤตโรคระบาดผ่านพ้น ทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง คาดว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิมแต่บนความเป็นจริงมีสิ่งที่ผู้คนไม่ได้คาดคิดถึงมากมาย ทำไมภาคเศรษฐกิจจึงมีแค่หมวดเดียวที่ดีขึ้นคือการท่องเที่ยวก็เพราะผู้คนถูกกักกันอิสรภาพหลายปีจึงต้องหาที่ระบายแล้วก็ออกไปเปิดหูเปิดตากันบ้าง แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้เงินกันอย่างประหยัดไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่หวังผู้คนลดพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอย ถึงแม้จะดูมีคนมาเที่ยวเยอะ แต่ก็ไม่ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเท่าไหร่
ยิ่งการจับจ่ายใช้สอยในทุกหมวดหมู่ ก็ยิ่งต้องควบคุมตัวเองอย่างเข้มงวด ไม่ใช่นึกอยากซื้ออะไรก็ซื้อ นึกอยากใช้อะไรก็ใช้ทุกคนต้องควบคุมรายจ่ายของตัวเองอย่างเคร่งครัด จึงเป็นปัญหากระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมมากที่สุด เมื่อผู้คนไม่จับจ่ายใช้สอย คนที่หยุดธุรกิจไปหลายปีกลับมาเปิด กิจการใหม่ จึงประสบปัญหาขายยากขายฝืดก็กลายเป็นปัญหาของคนที่ต้องลงทุนใหม่ทุกคน.สุดท้ายจึงมีผล กระทบกันเป็นลูกโซ่ ไม่มีอะไรเป็นไปตามคาดหมายสักอย่างและนี่คือสาเหตุที่แท้จริง
สภาวะอย่างนี้ถ้าจะผ่านวิกฤตกันไปได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว องค์กร ธุรกิจ หน่วยงาน หรือห้างร้านต่างๆ ต้องพึ่งพาความร่วมมือของผู้คนในองค์กรเหล่านั้น แล้วให้ทุกคน ทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์อะไรช่วยกันทำงานให้สุดกำลัง รับผิดชอบให้เต็มความสามารถเพื่อพยายามผ่านพ้นวิกฤตเหล่านี้ไปให้ได้ แล้วยังต้องคิดเปลี่ยนมุมมอง มุ่งไปในสินค้าที่ขายได้และสินค้าที่มีความจำเป็นกับชีวิต ที่สำคัญคือต้องร่วมกันลดปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหาให้องค์กร ช่วยกันแบกรับช่วยกันฟันฝ่าจึงจะสามารถผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้ นี่คือช่วงเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมใจกันอย่างแท้จริงมากที่สุด