วันจันทร์, ธันวาคม 23, 2024
Uncategorized

ตลาดหุ้นบ้าบอที่ไหนดิ่งลงมาวันละ10 กว่าเปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆที่ไม่มีภาวะสงครามถึงแม้จะดูตึงเครียดแต่ก็ไม่ใช่สาเหตุ เพราะถ้าเกิดสงครามทองจะพุ่งขึ้นราคาสูงสุดแต่นี่ทองก็ลงเนื่องจากปั่นราคาไปจนสุดโต่ง ท่านวิทิต เขียนเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจ

ถ้ามองปัญหาแบบผิวเผินแล้วเชื่อว่าเดี๋ยวก็ผ่านไป จะกลายเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ทุกวันนี้ทุกฝ่ายทุกชาติพูดกันเป็นเสียงเดียวว่าเศรษฐกิจไม่ดีต้องใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจ ทุกคนยังคิดกันแต่เรื่องเดิมๆ ถ้ามองกันแบบนั้นก็บอกได้เลยว่าหายนะมาเยือนแน่นอน ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าทำไมระบบเศรษฐกิจถึงได้รวนเรขนาดนี้ทั้งๆที่ทุกคนมองว่า บรรยากาศน่าจะเริ่มสดใสเพราะว่าหลุดจากกับดักของโรคโควิคแล้ว เกือบ 3-4 ปีที่ผู้คนไม่ได้ออกจากบ้าน อาชีพที่มีสูญสิ้นไปหมด

เงินทองที่เคยสะสมมีกันไว้บ้างก็สูญสิ้นจนไม่มีเหลือ จึงกลายเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า การแย่งชิงความเป็นหนึ่งในภูมิศาสตร์โลก ก่อสงครามแล้วกีดกันทางการค้าก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ช่วยกระหน่ำซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกย่ำแย่หนักขึ้น ทุนนิยมถือโอกาสซ้ำเติมโดยการปั่นราคาทุกอย่าง ตั้งแต่สินค้าถึงราคาพลังงานไปจนถึงอาหารการกินแล้วก็ยารักษาโรคซ้ำเติมความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า นายทุนระดับบนอยู่เบื้องหลังการปั่นราคา ไม่ว่าจะตลาดทุนหรือทรัพย์สินอย่างทองคำถูกปั่นจนสุดโต่ง แล้วตอนนี้พอเห็นว่าเศรษฐกิจย่ำแย่ ก็พากันขายทิ้งหลังจากที่ราคาขึ้นมาเป็น 100-200% เอากำไรไปตุนไว้ก่อนแล้วปล่อยให้นักลงทุนรายย่อยที่ไม่รู้เท่าทันหมดเนื้อหมดตัวกันไป สังเกตแบบง่ายๆตลาดหุ้นบ้าบอที่ไหนทิ้งลงมาวันละ10 กว่าเปอร์เซ็นต์ 20 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆที่ไม่มีภาวะสงครามถึงแม้จะดูตึงเครียดแต่ก็ไม่ใช่สาเหตุ เพราะถ้าเกิดสงครามทองจะพุ่งขึ้นราคาสูงสุดแต่นี่ทองก็ลงเนื่องจากปั่นราคาไปจนสุดโต่งเหมือนกัน มองปัญหากันไม่ออกแล้วรัฐบาลแต่ละประเทศในโลกใช้วิธีกระตุ้นเศรษฐกิจก็เข้าทางพอดี ประเทศเหล่านั้นจะยากจนยิ่งขึ้นๆเพราะรัฐบาลมีแต่หนี้ สุดท้ายก็มาเพิ่มภาษีเพิ่มภาระให้กับประชาชน ทั้งหมดนี้คือความชั่วร้ายของระบบทุนนิยมที่ต้องการกินรวบให้หมดทุกสิ่งเรื่องแบบนี้นักบริหารรุ่นใหม่ที่เรียนการบริหารจากในตำราแล้วก็เชื่อแบบงมงายจะเป็นพาหะนำหายนะมาสู่ชนชาวโลก ไม่ว่ากระแสอะไรมันจะเลวร้ายแค่ไหนถ้าผู้คนมีสติแล้วรู้จักคิดไตร่ตรองให้ดี ก็จะไม่ต้องพาตัวเองเข้าไปเป็นห่วงโซ่แห่งความอัปยศเหล่านี้ จะเท่ากับการช่วยโลกทางอ้อมเพราะถือว่าเท่าทัน ยุคนี้ไม่มีแล้วเทพหรือมารแต่มันมีแต่นรกแตกแล้วหลุดนรกมาเกิดทั้งนั้น เมื่อศีลธรรมเสื่อมศูนย์ผู้คนไร้ความละอาย การหาความสุขบนความเดือดร้อนของผู้คนจึงเกิดขึ้นนี่คือยุคซาตานขนานแท้เปิดดวงตาให้เห็นธรรมจะลดความระกำลงได้ ทั้งหมดเริ่มต้นที่ความโลภสุดท้ายจบด้วยความหลง งมงายไม่รู้สึก เมื่อสติไม่มีสัมปชัญญะไม่เกิดแสงแห่งปัญญาจึงเสื่อมสูญ เตือนกันมาให้คิดไม่ใช่ไม่มีทางแก้ แต่ต้องไม่งมงาย ไม่ต้องไปแก้ให้โลก แก้ที่ตัวเราดีที่สุด ถ้าผู้คนเท่าทันโลกจะสว่างสดใสเอง(เครดิต:ภาพ Getty )

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *